วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

พระพิฆเนศ 
   เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ปราดเปรื่องในศิลปวิทยาทุกแขนง 
และแบ่งแยกออกเป็นหลายปางต่างกกันออกไป ลองมาดูกันดีกว่าว่าเกิดวันไหนควร
บูชาพระพิฆเนศปางใด
พระพิฆเนศ
   

พระพิฆเนศประจำคนเกิดวันอาทิตย์ 
     คือ พระพิฆเนศวร์ปางวีระคณปติ วรรณะสีแดงโลหิต มี 16 กร ทรงอาวุธและสิ่งมงคลต่างๆ เป็นอวตารแห่งนักรบ ปางออกศึก และปราบมาร เสริมอำนาจทางด้านการบริหารปกครองและความเป็นผู้นำ
    
 วรรณะสีแดงโลหิต 
    มี ๑๖ กร ทรงอาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆคือ โล่ หอก ค้อน คทา ธงชัย จักรตรา พญางู ขวาน คันศร ลูกศร ตรีเพชร ขอสับช้าง อสูร กระบี่ ตะบอง และบ่วงบาศ พระกรเหล่านั้นกางออกประดุจรัศมีอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ อำนวยผลให้กับองค์กรบริหารราชการแผ่นดิน ทหาร ตำรวจ พลเรือน ฝ่ายปกครอง ผู้นำ ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานทุกประเภท เสริมให้ผู้ที่บูชามีอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียงและทรัพย์สิน
 คาถาบูชา
  โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
โอม จาบาลา คูซุมา สังการาชามา
กัสยา เปยัม มหากา ดายูติม
ตะโม อะริม ซะราวา ปราประธนัม
โอมคาซุม คยา สุรายา ดิวากาคาลัม
โอม ศรี มหาวีระ คณะปัตตะเย นะมะฮา โอม
 

พระพิฆเนศประจำคนเกิดวันจันทร์
    คือ พระพิฆเนวร์ปางทิวมุขคณปติ มี 2 เศียร วรรณะสีเนื้อขมิ้นหรือสีทอง ทรงถืองาหัก ตะบอง   บ่วงบาศ และโถอัญมณี ช่วยเสริมในเรื่องการปรับตัว ทรัพย์สินเงินทอง เหมาะสำหรับคนทำงานด้านประชาสัมพันธ์ นักการทูต

 วรรณะสีเนื้อขมิ้นหรือสีทอง 
       หรืออาจจะพบมีสีเขียวบ้างทางตอนใต้ของอินเดีย มี ๒ เศียร ๔ กร ทรงถืองาหัก ตะบอง บ่วงบาศ และโถอัญมณี เป็นปางที่เป็นคนที่ปรับตัวได้กับทุกคนให้ทรัพย์มาก และ
ขจัดอวิชา บางครั้งจะพบในลักษณะของนริตยาคณปติปานาฏราช 4 พระกร 2 พระกร จะสมบูรณ์ต้อง
ประทับใต้ต้นมะตูม อำนวยผลให้กับผู้ทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ด้านติดต่อเจรจา ประสานงาน เป็นสื่อกลางต่างๆ นักการทูต นักจิตวิทยาที่ต้องใช้มนุษย์สัมพันธ์สูง
  
คาถาบูชา
   โฮม ศรีคเณศายะ นะมะฮา
  โอม ดิธีสังคลา ทุศา รับพรัม
คริสิรู ดาระนา ซัมบราวัม
นะมามิ ชาชินัม โซมา
โอม ชามา จันดรายา นะมะฮา
โอม ศรี ทวิวรมุข คณะปะตะเย นะมะฮา
 พระ

พิฆเนศประจำคนเกิดวันอังคาร 
    คือ พระพิฆเนศวร์ปางตรีมุข คณปติ วรรณะสีแดง หรือสีชมพูสด มี 3 เศียร 6 กร เป็นปางเปิดโลก ประทับนั่งบนดอกบัว เสริมทางด้านโภคทรัพย์ อำนาจ ความมีเสน่ห์ และการแคล้วคลาดปลอดภัย จากอันตรายทั้งปวง

วรรณะสีแดง หรือสีชมพูสด
    มี ๓ เศียร ๖ กร สามเศียรหมายถึง ภพทั้งสาม (สวรรค์, โลกมนุษย์, บาดาล) ถือเป็นปางเปิดโลกปางหนึ่งประทับนั่งบนดอกบัว ทรงประทานพร พระหัตถ์ขวาประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายอำนวยพร กรอื่นๆทรงถือตะบอง ลูกปะคำ บ่วงบาศ และโถใส่น้ำผึ้ง อำนวยผลทางด้านโภคทรัพย์ มีอำนาจ มีเสน่ห์ และแคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งเลข 3 ถือเป็นอำนาจการคุ้มครองของพระอังคาร

คาถาบูชา
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
โอม ดะระณึ คารูบาฮา ซัมปูยัม
วิทดยุท คานธี ซามา ปราพรัม
คูมารัม ศักติ ซามา ปราพรัม
มังกาลัม ปรานามมายัม ฮามา
โอม อัม อัคคารายา นะมะฮา
โอม ศรี มหาตรีมุจติ คณะปัตตะเย นะเมฮา
โอม ศรี มหาตรีมุขติ  คณะปัตตะเย นะมะฮา

พระพิฆเนศประจำคนเกิดวันพุธ 
      คือ พระพิฆเนศวร์ทวิชาคณปติ วรรณะสีขาวหรือบางตำราเป็นสีเขียว เป็นปางแห่งการบุกเบิก เหมาะสำหรับผู้ประกอบกิจการต่างๆ นักธุรกิจ นักลงทุน ส่วนคนเกิดวันพุธกลางคืน (ราหู) เป็นปางอุจฉิษฏะคณปติ ช่วยเสริมทางด้านเสน่ห์และความสำเร็จ

วรรณะสีขาวมี 
      หรือบางตำราเป็นสีเขียว ๔ เศียร ๔ กร ทรงถือลูกปะคำ ไม้ครู(หรือพลอง) กาน้ำ และคัมภีร์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ ความพากเพียร และแสวงหาวิชาความรู้ หรือเป็นปางคเนศกึ่งนารี กึ่งบุรุษตามตำนานแห่งพระพุธเทวาที่มี2ร่างเป็นพระนางอิลาจากคำสาปของพระ ศิวะ
อำนวยผลให้กับผู้ประกอบกิจการต่างๆ นักธุรกิจ นักลงทุน นักสำรวจ นักบุกเบิก คนทำงานต่างแดน เป็นต้น ปางนี้ให้ทรัพย์มาก กล่าวถึงพระพรหม 4 พระพักตร์ ที่ให้พรพระคเนศให้มีอำนาจเทียบเท่ากับพระองค์ ปางที่เป็นอัครนารีคเณศนั้นสามารถหาดูได้ที่รูปแกะสลักหิน ปรากฏที่วิหารพระแม่อุมากามาฉิ เมืองกัลยากุมารี ทางใต้ของอินเดีย ปางนี้ถึงว่าอวตารเป็นครึ่งพระลักษมี เพื่ออำนาจ บารมี ทรัพย์และมีความสามารถดั่งบุรุษกับสตรีรวมกัน

คาถาบูชา
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
โอม ปรยังคู กาลิคลา ชยานัม
รูปินากา ปราติมัม บุดตรัม
สุอัมยัม โสอัมยา คุโน ปิตัม
ตัม ปุตดรายัม ปรานัมปรายัม ฮามา
โอม พลู บุตธยา นะมะฮา
โอม ศริ ทวิชา คณะปัตตะเย นะมะฮา
พระพิฆเนศ สำหรับคนเกิดวันพุธกลางคืน (ราหู) 
พระอุจฉิษฏะ คณปติ (Uchhishta Ganapati) ปางเสน่หา และความสำเร็จสมปรารถนา
วรรณะสีฟ้าเทา                                                                                                                         ดุจเมฆา สีสัมฤทธิ์ หรือนิล มี ๖ กร ประทับนั่งโดยพระกรหนึ่งโอบอุ้มศักติชายาอยู่ที่ตักด้านซ้าย บางครั้งจะพบพระทับบนหลังหนูพาหนะ ส่วนพระกรอื่นถือลูกประคำ ลูกทับทิม พิณ รวงข้าว และดอกบัว อำนวยผลให้เกิดเสน่ห์ และความสำเร็จในด้านต่างๆตามแต่จะขอพร
คาถาบูชา                                                                                                                โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮาโอม อดราธยา คะยา มะหะยา วีรายัมจันดรา อะทิตตตะยา วีมาดัมสิมะติกาลา ปรานัมมายัม ฮามาโอม รามา รากายะเว นะมะฮาโอม ศรี อุจฉิษฎะ คณะปัตตะเย นะมะฮา

 

พระพิฆเนศประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี
     คือ พระพิฆเนศวร์ปางเหรัมภะคณปติ วรรณะสีขาวหรือแสงอรุณรุ่ง มี 5 เศียร 10 กร ประทับนั่งบนหลังสิงโต เสริมทางด้านการปกป้องคุ้มครอง เสริมพลังอำนาจในการปกครองบริวาร เสริมความมั่นคงทางด้านผู้นำ

วรรณะสีขาว หรือแสงอรุณรุ่ง 
     มี ๕ เศียร ๑๐ กร ประทับนั่งบนหลังสิงโต หมายถึง พลังอำนาจในการปกครองบริวาร กางพระกรประดุจรัศมีคุ้มกันสรรพภัย พระหัตถ์ซ้ายประทานพร พระหัตถ์ขวาอำนวยพร ทรงถือมะม่วง ลูกประคำ ขนมโมทกะ งาหัก บ่วงบาศ ค้อน ขวาน และพวงมาลัย บูชาเพื่อขจัดความอ่อนแอ ไร้พลัง เป็นปางหนึ่งที่พระราชาในอินเดียนิยมบูชากันมาก อำนวยผลด้านการปกป้องคุ้มครองบริวาร การบริหาร ปกครองของผู้นำ

คาถาบูชา
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
โอม เดวายา นานะชา สิทธินานะชา
กูรูมา กานันชะนา ชานีพรัม
พุทติ พลูตรัม พะริหาสะปาติมา
โอม กูรูมา กูรูเว นะมะฮา
โอม ศรี เหรัมภะ คณะปัตตะเย นะมะฮา

 

พระพิฆเนศประจำคนเกิดวันศุกร์ 

   คือ พระพิฆเนศวร์ปางเอกทันตะคณปติ วรรณะสีฟ้า  มี 4 กร ทรงถือขวาน ลูกประคำ ผลไม้ และงาหัก เสริมทางด้านความสำเร็จ ความมุ่งมั่นเข้มแข็งทาง ด้านจิตใจ เสริมเสน่ห์และความรัก

วรรณะสีฟ้า 
     มี ๔ กร ทรงถือขวาน (เพื่อใช้กำจัดอวิชา) ถือลูกประคำ (เพื่ออธิษฐาน) ผลไม้ และงาหัก เอกทันตะหมายถึงเทพเจ้าผู้มีงาข้างเดียว อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทุกสิ่งตามแต่จะอธิษฐาน บางครั้งจะทรงอุ้มพระชายาสิทธิและพุทธิ เป็นปางของการให้กิเลสสมบัติ โดยพระศุกร์เทวา และเสน่ห์แห่งรักของพระกามเทพ ส่วนใหญ่จะอำนวยผลทางด้านความรัก


คาถาบูชา
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
โอม หิมาคันดา มารินา ราพรัม
ดรธยา อานัม ปารานัม กูรูมา
สวายา ชากะตา ปราวะ ทารัม
ปาลาวากาลัม ปรานัมมายัม ฮามา
โอม ชามา ศุกครารายา นะมะฮา
โอม ศรี มหา เอกทันตะ คณะปะตะเย นะมะฮา

พระ

พิฆเนศประจำคนเกิดวันเสาร์ 
    คือ พระพิฆเนศวร์ปางสิทธิคณปติ วรรณะสีทองคำ มี 4 กร ทรงถือช่อดอกไม้ มะม่วง ต้นอ้อย และขวาน เป็นปางประทานความสมบูรณ์และทรัพย์สมบัติ เหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพการแพทย์ การพยากรณ์

วรรณะสีทองคำ 
มี ๔ กร ทรงถือช่อดอกไม้ มะม่วง ต้นอ้อย และขวาน ส่วนงวงนั้นชูขนม คอยประทานความร่ำรวย และความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลก อำนวยผลด้านทรัพย์สินเงินทอง และความอุดมสมบูรณ์ อำนาจเหนืออุปสรรค ขจัดภูติผีปีศาจ อำนาจในการปกครองหรือการสอน การแพทย์ การพยากรณ์ ปางนี้ถือว่าสำคัญมากโดยเฉพาะผู้มีพระเสาร์แทรกทำให้รุ่มร้อน


คาถาบูชา
โฮม ศรีคเณศายะ นะมะฮา
โอม นีลัมชะนา ซามาปราชามา
ราวี พูตรารัม ยามา อัคคาราจัม
ชาคายา มาราธนา ชามาพลูทยัม
ตามะ นะมามิ สานิชาคารัม
โอม ชามา ชาไนศุกครารายา นะมะฮา
โอม ศรี คณะปัตตะเย นะมะ ฮา

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก http://dnya.org

ฮก ลก ซิ่ว


        เป็น 3 เทพเจ้าจีน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นมงคล 3 ประการของจีน แห่งการอวยพร ปัจจุบันนิยมสร้างเป็นเทวรูปประดับตั้งวางอยู่ภายในบ้าน นิยมให้เพื่อเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่หรือให้เป็นของฝากแก่ผู้ใหญ่ ซึ่ง ฮก ลก ซิ่ว สามารถตั้งในห้องทำงาน หรือห้องโถง ห้องนั่งเล่น ได้ครับ ที่ห้ามคือห้องนอน ไม่เหมาะสม และควรตั้งแยกจากรูปเคารพอื่น คือแยกโต๊ะที่วาง ตั้งในที่เหมาะสม และให้สูงกว่า โต๊ะทำงาน


ฮก ลก ซิ่ว 

ฮก (แปลว่า โชคดี เทพยดาองค์ซ้าย)
ท่าน "เจี่ยวช้ง" เป็นพ่อค้า มหาเศรษฐี ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ร่ำรวยจากการค้าขายที่สุจริต และ คนในครอบครัว ลูกหลาน ล้วนแล้วแต่เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด มีเรื่องเล่าขานกันว่า บ้านพักของท่านเจี่ยวช้งนั้น ห่างจากพระราชวังถึง 20 ลี้ เพียงท่านก้าวพ้นจากเขตที่ดินของท่าน ก็เป็นเขตพระราชวัง ด้วยความที่ท่านมีทรัพย์สมบัติมาก กอปรกับท่านเป็นใจบุญ ให้ความช่วยเหลือกับทุกคนที่ทุกข์ยาก จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน และสร้างคุณความดีต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ในสมัยนั้น ใน มือถือ เล่งจื้อ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่หายากมากที่สุด

 ลก (ยศถาบรรดาศักดิ์ เทพยดาองค์กลาง)
ท่าน "ก๋วยจื่องี้" เป็นข้าราชการระดับอัครเสนาบดี (ข้าราชการระดับสูง) ที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ ยุติธรรม รับใช้ราชการนานหลายแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ และ จงรักภักดีต่อแผ่นดินนั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อ ฮ่องเต้หลายพระองค์ จึงมีราชการโองการ ให้อยู่ในตำแหน่งตลอดทั้ง 4 แผ่นดิน และได้รับมอบ ดาบหยก และ เข็มขัดหยก ให้สามารถทำการใดๆ แทนฮ่องเต้ก่อน แล้ว ค่อยทูลถวายภายหลังได้ ท่าน ก๋วยจื่องี้ เป็นข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่ง นานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน มือซ้ายถือ ยู่อี่ โดยถือว่าเป็นหยกอิสสริยาภรณ์ สูงสุดชั้นพิเศษ

 ซิ่ว (อายุยืน เทพยดาองค์ขวา)
ท่าน "แผ่โจ้ว" เป็นบุคคลที่กลัวความแก่ และความตายมากที่สุด จึงรักษาสุขภาพ ร่างกาย และ จิตใจของตนเองให้มีความสุข แข็งแรง ตลอดเวลา ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวใหญ่ มีภรรยา และ ลูกหลานมากมาย และเป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านแผ่โจ้วนั้นมีอายุยืนกว่า 800 ปี มีภรรยาเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 49 คน และ บุตรหลานเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 154 คน
จะเห็นว่าทั้งสามอย่าง เป็นเรื่องมงคลที่ทุกคนอยากเป็น เมื่อนำมาตั้งแล้ว ก็เตือนใจให้ตัวเอง ให้ประพฤติตัวให้ดี ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ซื่อตรงต่อหน้าที่ ย่อมได้มาซึ่งเกียรติ หรือ ฮก ทำงานด้วยความขยัน ขันแข็ง รู้จักเก็บออม รู้จักใช้จ่าย ย่อมได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือ หลง และเมื่อมีพร้อมทั้งเงินทองและชื่อเสียง ย่อมได้มาซึ่ง ซิ่ว คือมีอายุยืนยาว
ดังนั้น คนจีนจึงนิยม ให้ ฮก ลก ซิ่ว ให้เป็นของขวัญเหมือนเป็นคำอวยพร จึงกลายเป็นวัตถุมงคลที่คน ชอบ และ มีความหมายที่ลึกซึ้ง ดังนั้น คนที่มีฐานะดีก็จะหามาไว้ครอบครอง คนที่มีฐานะยากจนก็อยากจะมีไว้ครอบครอง ด้วยหวังว่าจะดลบันดาลความร่ำรวยมาให้กับตนได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก wikipedia,www.promdeva.com
ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์



เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่ โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ 
ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน ? สร้างขึ้นได้อย่างไร ? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่ อ ค.ศ. 400 เป็นผู้สร้างขึ้น 
แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการความรู้ของคนในสมัยอดีต 

เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้น หาคำตอบต่อไป

หินยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์

โมอาย Ahu Akiviแปลกกว่าบริเวณอื่นเนื่องจากหันหน้าออกทะเล 

ความลี้ลับของ “เกาะอีสเตอร์” (Easter Island) ประเทศชิลี เป็นหัวข้อหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี 
เกี่ยวกับปริศนาเกาะอีสเตอร์ รวมถึงหินแกะสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงราวอยู่ตามชายหาด และทั่วบริเวณเกาะ



คำถามที่ว่า ใครเป็นคนแกะสลักสิ่งเหล่านี้? แกะสลักเพื่ออะไร? หินเหล่านี้มาจากไหน? เคลื่อนย้ายหินขนาดยักษ์นี้ได้อย่างไร? ใช้เครื่องมืออะไรสลัก? 
แล้วเหตุอันใดการสร้างแกะศิลาเหล่านี้จึงยุติ? รวมถึงความแน่ชัดของอารยธรรม และอีกหลากหลายปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ 
แต่ด้วยเหตุที่เต็มไปด้วยปริศนาลี้ลับนี้เองที่เป็นเหตุจูงใจให้นักท่องเที่ยวและนักวิชาการทั้งหลายเดินทางมาเยือนเกาะอีสเตอร์อย่างไม่หยุดหย่อน



โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” หรือ โมอาอิ (Moai) ที่มีความน่าอัศจรรย์ เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอก
ที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว 
อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลาย
ได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา

จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกของโลก ในปี 2538 นอกจากจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกอันมีคุณค่าแก่การรักษาและอนุรักษ์แล้ว 
โมอายยังติดโผ 21 สถานที่ ว่าที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้ทำการคัดเลือกไปแล้วเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาอีกด้วย

เจ้าหินโมอายนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่แท้คือ หินเหล่านี้มีอยู่บนเกาะอีสเตอร์ เกาะเล็กๆรูปสามเหลี่ยมพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร 
ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ประมาณ 3,747 กิโลเมตร นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เกาะนี้ถือกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ 
ใต้มหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว

โมอายหันหน้าเข้าหาฝั่งเสมอทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเกาะ ที่ Anakena Beach, โมอาย ที่ Ahu Naunau 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัว
นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ครั้งแรกคือชาว “โพลีนีเซียน” (Polynesia) 
เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงเกาะก็ได้บุกเบิกสร้างเมืองทันที โดยเอาสัตว์เลี้ยง และต้นไม้มาปลูกบนเกาะ



และในปี ค.ศ.380 ได้เริ่มมีรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ซึ่งสลักจากหินบะซอลต์หรือกากแร่ภูเขาไฟ ต่อมาในยุค ค.ศ.1100 ได้มีรูปสลัก “โมอาย” (Moai) 
ซึ่งสลักจากหินภูเขาไฟ “ราโน รารากู” (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ลักษณะเป็นครึ่งตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย หน้าตาคล้ายกันหมด
คิ้วโหนกออกมาจนเป็นสัน ดวงตาใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในเนื้อหิน ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับปากที่แบะและยื่น มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูยาว มีแขนที่แนบชิดติดลำตัว 
สูงประมาณ 6-30 ฟุต หนักประมาณ 50 ตัน ตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า “อาฮู” (Ahu)

ต่อมาก็มีการสร้างรูปสลักลักษณะแบบเดียวกันแต่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการเติมส่วนจุกสีแดง หรือที่เรียกว่า “พูคาโอ” (Pukao) บนศีรษะ โดยเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้
เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า หรือหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับไปแล้ว จนในปี ค.ศ.1680 ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะทำให้ป่าไม้เริ่มหมด อาหารการกินร่อยหรอ
เป็นปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลาย โมอายที่ Ahu Tongariki มี 15 ตัวด้วยกัน



นอกจากนี้ บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับ “มนุษย์ปักษี” (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากร 
โดยวิ่งลงหน้าผาสูงชันแล้วว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อหาไข่แล้วนำไข่ว่ายน้ำกลับมาให้ผู้นำของเผ่านั้นได้ก็ถือว่าชนะ ซึ่งผู้นำเผ่าของผู้ชนะนอกจาก
จะได้รับการยกย่องให้เป็นมนุษย์ปักษีประจำปีนั้นๆแล้ว ยังได้สิทธิ์การปกครองและการใช้ทรัพยากรอีกด้วย แต่นั้นก็เป็นเพียงตำนานหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาถึงการล่มสลายของเกาะ
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้

ชื่อของเกาะนี้ก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า “Te Pito O Te Henua” มีความหมายคือ“Navel of The World” หรือ “สะดือของโลก” 
กระทั่งปี ค.ศ. 1722 ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาพบเกาะเล็กๆที่มากด้วยรูปสลักหินขนาดยักษ์เรียงรายอยู่ตาม
ชายหาดหันหน้าเข้าหาฝั่ง จึงตั้งชื่อเกาะว่า “Easter Inland”




จากนั้นในปี ค.ศ.1770 นักเดินเรือชาวสเปนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้อีกครั้ง และพบว่ามีประชากรอยู่นับพันคน อีกไม่กี่ปีต่อมา กัปตัน James Cook ก็ได้มาพบเกาะอีสเตอร์ 
แต่ขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งคาดว่าเหตุที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็วน่าจะมาจากการที่ประชากรแย่งกันใช้ทรัพยากรจนหมดไปนั้นเอง

เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อทาสบางส่วนถูกปล่อยตัวกลับเกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับไปด้วย 
ทำให้ประชากรชาวเกาะทีมีอยู่น้อยยิ่งลดจำนวนลงอย่างมาก บวกกับที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรไว้ ทำให้อารยธรรม ความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์
เลือนหายไปพร้อมๆกับผู้คนและกาลเวลา 

จนในศตวรรษ ที่ 19 ประเทศชิลี (Chile) ก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888 และในเวลาต่อมาได้มีการสร้างสนามบินขึ้นบกเกาะแห่งนี้ 
เกาะอีสเตอร์ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโลกนับแต่นั้นมา



ปัจจุบันบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูกได้แก่ ภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku), ภูเขาไฟราโน กาโอ (Rano Kao) และ ภูเขาไฟราโน อาโรย (Rana Aroi) 
สำหรับภูเขาไฟราโน กาโอ ตั้งอยู่ตรงปลายเกาะ หากจะขึ้นไปชมด้านบนต้องเดินขึ้นเนินเลียบทะเลขึ้นไปที่ปากปล่อง ด้านบนสามารถชมวิวอันสวยงามของเกาะได้ ส่วนภูเขาไฟราโน รารากู 
ด้านบนปากปล่องภูเขาไฟเป็นทะเลสาบที่สวยงาม และมองเห็นวิวทิศทัศน์ได้กว้างไกล ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของโมอายอยู่ที่ภูเขาไฟแห่งนี้นี่เอง 

นอกจากโมอายแล้ว เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น หมู่บ้าน Hanga Roa, หมู่บ้าน Orongo, แหลม Poike, สุสาน Ahu Vinapu 
และชายหาด Anakena ที่สวยงาม เป็นต้น

จากความลี้ลับ อดีตที่ไม่แน่ชัดและปริศนามากมายที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของเกาะอีสเตอร์ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง
ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ และยังคงเป็นปริศนาที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมาค้นหาคำตอบกันต่อไป 



คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) 
         ภาพจาก BBC มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษา
ครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์ ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ 
จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เอง
เป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศรีษะหรือมีอาการคลื่นไส้ 
สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง

แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างครอปเซอร์เคิลที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers 
โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างครอปเซอร์เคิลที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์
ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้าง

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker 
คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า “ สาธารณชนไม่ต้องการคำอธิบาย “เขากล่าว





โอเรกอน วอร์เท็กซ์


พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับ แต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึก 
เหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกันและหมุนรอบๆ จนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย
ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียงลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจาก
ประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ ทุกอย่างพิสูจน์ได้

















พระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์

คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง 
คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้

Ark of the Covenant 
หรือหีบพันธะสัญญานั้นเองครับ ที่จริงยังไม่มีใครเจอมันหรอก แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับมันนั้นช่างน่าพิศวงเหลือเกินลักษณะของหีบพันธะสัญญาคร่าวๆ ตามตำนาน เล่าว่า 
เป็นหีบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยไม้ชิดติม (Shittim) ยาว 2.5 คิวบิท กว้าง และสูงเท่ากัน คือ 1.5 คิวบิท (เทียบหน่วยคิวบิทของอียิปต์ ซึ่ง 1 คิวบิทเท่ากับ 525 ซ.ม. หีบก็จะยาว 1.3 เมตร กว้างและสูง 76 ซ.ม. )บุด้านนอกและด้านในด้วยแผ่นทองคำ โดยรอบหีบด้านบนยกเป็นขอบสูงขึ้นเล็กน้อย ที่มุมสี่ด้านมีห่วงทองคำสำหรับสอดไม้คาน เพื่อแบกหามเวลาเดินทาง และไม้คานทำจากไม้ชนิดเดียวกันหุ้มด้วยแผ่นทอง(มีคำสั่งห้ามถอดไม้คานออกด้วย) ส่วนฝาหีบ เรียกว่าMercy Seat หรือ “การุณอาสน์” มีขนาดรับกับตัวหีบ และบุแผ่นทองเช่นเดียวกัน ด้านบนมีเทวดาสององค์สยายปีก หันหน้าเข้าหากัน ปีกทั้งสองโอบคล้ายซุ้มโค้งเหนือหีบ
มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้า(??) เพื่อเป็นที่บรรจุแผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ โมเสส ในระหว่างที่เขาพาพวกฮีบรูเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย อันกันดาร โดยชนชาวฮีบรูจะแบกหีบแห่งพันธสัญญาตลอดการเดินทางในพระคัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหีบ ที่มีพลังมากมายมหาศาลถึงขั้นสามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง และถูกพระเพลิงเผาวอดตาย
แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อและหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุคนั้น ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ ขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 (เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? 
และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่